สแตนเลส 304 และ 316 คืออะไร? มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง?

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า สแตนเลส 304 และ สแตนเลส 316 บ่อยๆ เวลาหาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องครัว อุปกรณ์ก่อสร้าง หรือแม้แต่ของตกแต่งบ้าน แต่เคยสงสัยไหมว่าสแตนเลสแต่ละชนิดนั้นต่างกันอย่างไร? แล้วเราควรเลือกใช้แบบไหนให้เหมาะกับงานของเรา? บทความนี้จะพาไปรู้จักกับ “สแตนเลส 304 และ 316” แบบเข้าใจง่าย พร้อมอธิบาย คุณสมบัติของสแตนเลส แต่ละเกรด จุดเด่น จุดต่าง และตัวอย่างการใช้งานจริง
สแตนเลส หรือที่เรียกกันว่า เหล็กไม่เป็นสนิม เป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมมากในหลายวงการ เพราะนอกจากจะทนทาน ไม่เป็นสนิมง่ายแล้ว ยังดูสวยงามและดูแลง่ายอีกด้วย โดยเฉพาะ สแตนเลส 304 ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในเครื่องครัว อุปกรณ์ร้านอาหาร ไปจนถึงโครงสร้างทั่วไป ส่วน สแตนเลส 316 ก็ถือว่าเป็นตัวอัปเกรด ที่มีความทนทานต่อสารเคมีและน้ำทะเลสูง จึงมักถูกนำไปใช้ในงานอุตสาหกรรมหนักหรือในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง
ถ้าคุณกำลังเลือกซื้อหรือผลิตสินค้าที่ต้องใช้สแตนเลส และไม่แน่ใจว่าจะใช้แบบไหนดีกว่ากัน บทความ สแตนเลส 304 และ 316 คืออะไร มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง? ได้รวบรวมคำตอบมาให้ พร้อมแนะนำแนวทางการเลือกให้เหมาะกับการใช้งานจริง ประหยัดงบ และใช้ได้นาน
สแตนเลสคืออะไร?
สแตนเลส หรือที่หลายคนเรียกกันว่า “เหล็กไม่เป็นสนิม” คือโลหะชนิดหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้มีคุณสมบัติพิเศษคือ ไม่เป็นสนิมง่าย ทนต่อการกัดกร่อนได้ดี และยังมีผิวที่ดูเงางามสะอาดตา โดยชื่อเต็มๆ ของมันคือ Stainless Steel ซึ่งหมายถึงเหล็กที่ “ไร้คราบ” หรือ “ไม่มีสนิมเกาะ” นั่นเอง
สแตนเลสมีส่วนผสมหลักๆ คือ เหล็ก (Iron) ผสมกับ โครเมียม (Chromium) อย่างน้อย 10.5% และอาจมีส่วนผสมของธาตุอื่นๆ เช่น นิกเกิล (Nickel) โมลิบดีนัม (Molybdenum) และ แมงกานีส (Manganese) ขึ้นอยู่กับเกรดของสแตนเลสแต่ละชนิด จุดเด่นของโครเมียมคือเมื่อสัมผัสกับอากาศ จะสร้างชั้นฟิล์มบางๆ ที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดสนิม ทำให้ผิวของสแตนเลสไม่ผุกร่อนง่ายเหมือนเหล็กทั่วไป
นอกจากความทนทานแล้ว สแตนเลสยังเป็นวัสดุที่ดูแลง่าย ไม่ต้องทาสีกันสนิม และยังสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ จึงถือว่าเป็นวัสดุที่ทั้งสวยงามและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นิยมใช้ในหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็นงานตกแต่งบ้าน เครื่องครัว เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์โรงพยาบาล ไปจนถึงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
สรุปสั้นๆ: สแตนเลสคือเหล็กที่ไม่เป็นสนิมง่าย ทนทาน ใช้ได้นาน และเหมาะกับงานหลากหลายประเภท ทั้งในบ้านและในโรงงาน
สแตนเลส 304 คืออะไร?
สแตนเลส 304 คือเกรดของสแตนเลสที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นในงานครัว งานตกแต่งอาคาร หรืองานอุตสาหกรรมทั่วไป ก็ล้วนเลือกใช้สแตนเลสชนิดนี้ เพราะมีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ทั้งความแข็งแรง ความเงางาม และความทนทานต่อสนิมในระดับที่ดี
องค์ประกอบหลักของสแตนเลส 304 คือ เหล็ก (Iron) ผสมกับ โครเมียมประมาณ 18% และ นิกเกิลประมาณ 8% ซึ่งทำให้สแตนเลส 304 มีความทนทานต่อการกัดกร่อนจากอากาศ น้ำ หรือความชื้นได้ดีพอสมควร แม้จะไม่ถึงขั้นทนเคมีแรงๆ หรือเกลือทะเลแบบ 316 แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปในบ้านและในเชิงพาณิชย์
ข้อดีของสแตนเลส 304:
• ไม่เป็นสนิมง่าย
• ขึ้นรูปหรือเชื่อมต่อได้ง่าย
• ผิวเรียบเงาสวย ดูแลรักษาง่าย
• ราคาไม่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับคุณภาพ
สแตนเลส 304 นิยมใช้ทำอะไรบ้าง?
• อ่างล้างจานและอุปกรณ์เครื่องครัว
• ราวบันไดและงานตกแต่งอาคาร
• ถังเก็บน้ำ
• เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน
• ชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมอาหารและยา
สแตนเลส 316 คืออะไร?
สแตนเลส 316 คือสแตนเลสเกรดพรีเมียมที่มีคุณสมบัติทนต่อการกัดกร่อนได้ดีกว่าเกรด 304 โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง หรือมีสารเคมีรุนแรง เช่น น้ำทะเล สารกัดกร่อน กรดต่างๆ หรือแม้แต่คลอรีน
องค์ประกอบหลักของสแตนเลส 316 คือ เหล็ก + โครเมียมประมาณ 16–18% + นิกเกิลประมาณ 10–14% และที่สำคัญคือมีการเติม โมลิบดีนัม (Molybdenum) ประมาณ 2–3% ซึ่งเป็นตัวช่วยหลักที่ทำให้สแตนเลส 316 มีความสามารถในการต้านทานสนิมและการกัดกร่อนได้ดียิ่งขึ้นกว่าสแตนเลสทั่วไป
คุณสมบัติเด่นของสแตนเลส 316:
• ทนต่อสนิมและการกัดกร่อนจากน้ำทะเล สารเคมี หรือไอเค็ม
• แข็งแรง ใช้งานได้ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง
• ปลอดภัยต่อการใช้งานในอุตสาหกรรมอาหารและการแพทย์
• ทนต่ออุณหภูมิสูงได้ดี
สแตนเลส 316 นิยมใช้ทำอะไรบ้าง?
• อุปกรณ์และเครื่องจักรในโรงงานเคมี
• อุปกรณ์ในห้องแล็บและการแพทย์
• อุปกรณ์ในเรือหรืออุตสาหกรรมทางทะเล
• เครื่องใช้ในโรงพยาบาล
• ถังเก็บสารเคมี
แม้ว่าสแตนเลส 316 จะมีราคาสูงกว่าสแตนเลส 304 แต่ถ้างานของคุณเกี่ยวข้องกับทะเล สารเคมี หรือความปลอดภัยสูง การลงทุนกับ สแตนเลส 316 ถือว่าคุ้มค่าในระยะยาว เพราะจะช่วยยืดอายุการใช้งาน และลดปัญหาเรื่องสนิมหรือความเสียหายที่อาจตามมา
คุณสมบัติ | สแตนเลส 304 | สแตนเลส 316 |
---|---|---|
ส่วนผสมหลัก | Cr 18% + Ni 8% | Cr 16% + Ni 10% + Mo 2-3% |
ความทนต่อการกัดกร่อน | ดี | ดีเยี่ยม (ทนคลอไรด์ น้ำทะเลได้ดี) |
การใช้งานทั่วไป | ครัวเรือน เฟอร์นิเจอร์ | อุตสาหกรรมเคมี อุปกรณ์ทางทะเล |
ราคา | ประหยัดกว่า | แพงกว่าเล็กน้อย |
💡 TIP: หากงานของคุณเกี่ยวข้องกับน้ำทะเล หรือสารเคมีรุนแรง ควรเลือกใช้ สแตนเลส 316 เพื่ออายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า
กระบอกน้ำเก็บอุณหภูมิ: เลือกสแตนเลส 304 หรือ 316 ดีกว่า?

กระบอกน้ำเก็บอุณหภูมิ หรือที่หลายคนเรียกว่า กระติกน้ำสูญญากาศ มักจะผลิตจากวัสดุสแตนเลสเพราะสามารถเก็บความร้อน–เย็นได้ดีและไม่เป็นสนิม แต่คำถามคือ ควรเลือกเกรด 304 หรือ 316 ถึงจะคุ้มค่าและปลอดภัย?
สแตนเลส 304 – ตัวเลือกยอดนิยม
• เป็นวัสดุมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในกระบอกน้ำทั่วไป
• ปลอดภัยสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม
• กันสนิมในระดับทั่วไป เช่น น้ำเย็น น้ำร้อน ชา กาแฟ
• ราคาเข้าถึงง่าย เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป
• ถ้าใช้งานแบบไม่สัมผัสสารเคมีหรือไอเค็มมากเกินไป ก็เพียงพอแล้ว
เหมาะกับ:
ผู้ใช้งานทั่วไป พกน้ำดื่ม กาแฟ หรือชาร้อนในชีวิตประจำวัน
⸻
สแตนเลส 316 – ระดับพรีเมียม
• มีความต้านทานการกัดกร่อนสูงกว่า 304 โดยเฉพาะต่อกรด เกลือ และไอเค็ม
• มักใช้ในกระบอกน้ำแบรนด์พรีเมียม หรือที่ออกแบบมาให้ใช้ในสภาพแวดล้อมโหดๆ เช่น ชายทะเล
• ปลอดภัยสูงสุดในระยะยาว โดยเฉพาะถ้าใช้เก็บของร้อนจัดหรือเครื่องดื่มที่มีความเป็นกรด เช่น น้ำมะนาว
เหมาะกับ:
ผู้ที่ใช้งานหนัก เดินทางบ่อย ใช้ในที่มีไอเกลือ ใช้เก็บเครื่องดื่มเปรี้ยวหรือชงร้อนบ่อยๆ และใส่ใจสุขภาพระยะยาว
⸻
สรุปง่ายๆ
• งบจำกัด / ใช้งานทั่วไป: เลือก สแตนเลส 304 ก็เพียงพอ ปลอดภัยและคุ้มค่า
• เน้นสุขภาพ / ใช้งานพรีเมียม: ลงทุนกับ สแตนเลส 316 เพื่อความปลอดภัยและความทนทานในระยะยาว
วิธีดูว่าเป็นสแตนเลสเกรดอะไร
- ดูจากสัญลักษณ์หรือรหัสบนตัวสินค้า
• ผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานมักจะ สลักหรือพิมพ์รหัส บนตัววัสดุ เช่น
• “SUS304” หรือ “18/8” = สแตนเลส 304
• “SUS316” หรือ “18/10” = สแตนเลส 316
• ถ้าเป็นเครื่องครัว อาจดูที่ก้นหม้อ หรือใต้กระบอกน้ำ - ดูเอกสารหรือฉลากสินค้า
• สินค้าที่ผลิตตามมาตรฐานมักระบุชัดเจนใน สเปกหรือฉลาก ว่าใช้สแตนเลสเกรดใด
• คำว่า “Food Grade” มักหมายถึงเกรด 304 ขึ้นไป
• ถ้าเจอคำว่า “Marine Grade” หรือ “High Corrosion Resistance” มักหมายถึง 316 - ทดสอบด้วยแม่เหล็ก (เบื้องต้น)
• สแตนเลสเกรด 304 และ 316 เป็น ออสเทนนิติก ซึ่ง ไม่ดูดแม่เหล็กหรือดูดน้อยมาก
• ถ้าแม่เหล็กดูดติดแรง อาจไม่ใช่ 304 หรือ 316 แต่อาจเป็นเกรด 430 (ซึ่งเป็นเฟอร์ริติก)
• แต่! การดูดแม่เหล็กไม่ชัวร์ 100% เพราะบางชิ้นงาน 304/316 ที่ผ่านกระบวนการขึ้นรูป อาจดูดแม่เหล็กเล็กน้อยได้ - ทดสอบทางเคมี (แม่นยำที่สุด)
• ใช้ชุดทดสอบสารเคมี หรือเครื่อง XRF (X-ray fluorescence) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของโลหะ
• วิธีนี้นิยมใช้ในอุตสาหกรรม มีความแม่นยำสูง แต่ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ - ปรึกษาผู้ขายหรือขอใบรับรองวัสดุ (Mill Certificate)
• สำหรับงานที่ต้องใช้มาตรฐานชัดเจน เช่น งานโรงงาน โรงพยาบาล หรืออุตสาหกรรมเคมี ผู้ขายมักมีใบรับรองวัสดุที่บอกว่าเป็นสแตนเลสเกรดใด พร้อมระบุส่วนผสมทางเคมี
หากคุณกำลังมองหากระบอกน้ำ แก้วน้ำได้มาตรฐาน Food Grade ติดต่อสั่งซื้อได้ที่ Buddy Bottle