4 เกรด สแตนเลส ที่ควรรู้จัก

สแตนเลส เป็นวัสดุที่มีบทบาทสำคัญในหลายด้านของชีวิตประจำวัน และ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในเครื่องครัว อุปกรณ์การแพทย์ เครื่องมือในอุตสาหกรรมก่อสร้าง หรือแม้กระทั่ง ในงานศิลปะ ด้วยคุณสมบัติที่เด่นเรื่องความทนทานต่อการกัดกร่อน การเกิดสนิม และความสามารถในการรักษาความเงางามได้นาน ทำให้สแตนเลสเป็นที่ต้องการอย่างมากในการผลิตสินค้า และ อุปกรณ์ที่ต้องการคุณภาพสูง แต่ถึงแม้ว่าสแตนเลสจะเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย หลายคนอาจไม่ทราบว่าสแตนเลสมีหลากหลายเกรดที่แตกต่างกันตามองค์ประกอบทางเคมี ซึ่งแต่ละเกรดถูกออกแบบมาให้มีความเหมาะสมกับการใช้งานที่เฉพาะเจาะจง

การเลือกเกรดสแตนเลสที่ถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และ ความยั่งยืนในการใช้งานได้อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง การใช้งานที่ต้องสัมผัสกับสารเคมี หรือ การใช้งานในอุตสาหกรรมอาหารที่ต้องการความสะอาดปลอดภัย ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของแต่ละเกรดสแตนเลสจะช่วยให้คุณเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมได้อย่างตรงจุด และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับ 4 เกรด สแตนเลส ที่ควรรู้จัก ซึ่งเป็นเกรดที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในหลายอุตสาหกรรม และ มีคุณสมบัติที่หลากหลาย การทำความเข้าใจเกี่ยวกับเกรดสแตนเลสเหล่านี้จะไม่เพียงช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกเกรดที่เหมาะสมกับการใช้งานได้อย่างแม่นยำ แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเลือกใช้สแตนเลสในทุกโอกาส ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ผลิต ผู้ใช้งาน หรือผู้บริโภค

สแตนเลสเกรด 304

เป็นวัสดุสแตนเลสที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมสำหรับการใช้งานหลากหลายประเภท จุดเด่นของสแตนเลสเกรดนี้คือการทนทานต่อการกัดกร่อนจากความชื้น และ สารเคมีได้ดี สาเหตุหลักมาจากส่วนผสมของโครเมียม 18% และนิกเกิล 8% ซึ่งช่วยเสริมความคงทน และ ความแข็งแกร่งของวัสดุ นอกจากนี้ สแตนเลส 304 ยังสามารถนำไปขึ้นรูปได้ง่าย เนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถดัด และ เชื่อมต่อได้สะดวก

สแตนเลสเกรดนี้จึงเหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น การผลิตอุปกรณ์ครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือแม้แต่งานตกแต่งภายในที่ต้องการความทนทาน และ ความสวยงาม นอกจากนี้ยังเป็นที่นิยมในงานอุตสาหกรรมที่ต้องการวัสดุที่มีคุณสมบัติทนทานต่อการสึกหรอ และ การกัดกร่อน

สแตนเลสเกรด 316

เป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติทนทานต่อการกัดกร่อน สูงกว่าสแตนเลสเกรด 304 เนื่องจากมีการเติมโมลิบดีนัม (Molybdenum) ประมาณ 2-3% ลงไปในส่วนผสม ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการทนทานต่อสารเคมี และ สภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีการสัมผัสกับน้ำเกลือ หรือ สารเคมีที่เป็นกรด

เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษนี้ สแตนเลสเกรด 316 จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมที่ต้องการวัสดุที่มีความทนทานสูง เช่น การผลิตอุปกรณ์ในทะเล อุตสาหกรรมเคมี และ งานที่ต้องการสัมผัสกับน้ำเกลือ นอกจากนี้ยังถูกใช้ในการผลิตเครื่องมือแพทย์ และ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เนื่องจากคุณสมบัติที่ปลอดภัย และ ทนทานต่อการติดเชื้อ ซึ่งทำให้วัสดุนี้เป็นที่นิยมในการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย

สแตนเลสเกรด 430

เป็นเกรดเฟอร์ริติกที่ไม่มีส่วนผสมนิกเกิล ซึ่งทำให้มันมีราคาถูกกว่าสแตนเลสเกรด 304 และ 316 อย่างไรก็ตาม สแตนเลสเกรด 430 ยังคงมีคุณสมบัติต้านทานการกัดกร่อนได้ดีในสภาพแวดล้อมทั่วไป แม้จะไม่ทนทานเท่ากับเกรดออสเทนนิติกอย่าง 304 หรือ 316 ก็ตาม

เนื่องจากราคาที่ค่อนข้างถูกและความต้านทานการกัดกร่อนที่เพียงพอ สแตนเลสเกรด 430 จึงมักถูกใช้ในการผลิตอุปกรณ์ครัว เครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งไม่ต้องการความทนทานต่อการกัดกร่อนในระดับสูง เกรดนี้มีความแข็งแกร่งพอสมควร แต่ก็มีความเปราะกว่าหมายถึงเกรดออสเทนนิติกซึ่งมักใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการความยืดหยุ่นและความทนทานมากกว่า

สแตนเลสเกรด 201

เป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าในเรื่องราคาต่อเมื่อเปรียบเทียบกับเกรดอื่นๆ เนื่องจากมีการลดปริมาณนิกเกิล และ เพิ่มปริมาณแมงกานีส (Manganese) แทน แม้จะมีความแข็งแรง และ สามารถต้านทานการกัดกร่อนได้ดี แต่ก็ไม่ทนทานเท่ากับสแตนเลสเกรด 304

สแตนเลสเกรด 201 จึงมักถูกนำมาใช้ในงานที่ไม่ต้องการความทนทานสูงต่อการกัดกร่อน เช่น การผลิตเครื่องครัวราคาประหยัด อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และชิ้นส่วนของยานยนต์ โดยข้อดีหลักของเกรดนี้คือความสามารถในการรักษาความแข็งแกร่ง และ ความทนทานต่อการใช้งานทั่วไปในราคาที่ต่ำกว่าสแตนเลสเกรด 304

แล้วเกรดที่ใช้กับอาหารคืออันไหนกันนะ

สแตนเลสที่ใช้กับอาหารอย่างปลอดภัยและแพร่หลายที่สุดคือ เกรด 304 และ เกรด 316 เนื่องจากทั้งสองเกรดนี้มีคุณสมบัติในการทนทานต่อการกัดกร่อนได้ดี ไม่ทำปฏิกิริยากับอาหาร และไม่มีการปล่อยสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

  • เกรด 304 ถือว่าเป็นสแตนเลสที่ใช้กันทั่วไปในอุตสาหกรรมอาหาร เหมาะสำหรับการทำเครื่องครัว เช่น หม้อ กระทะ อุปกรณ์ทำอาหาร และถังเก็บอาหาร เนื่องจากมีความทนทานต่อการกัดกร่อนในสภาพแวดล้อมปกติและง่ายต่อการทำความสะอาด
  • เกรด 316 เป็นสแตนเลสที่มีความทนทานต่อการกัดกร่อนสูงกว่าจากการเพิ่มส่วนผสมของโมลิบดีนัม ทำให้เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความเป็นกรดหรือเกลือสูง เช่น การผลิตเครื่องครัวที่ต้องสัมผัสกับอาหารที่มีความเป็นกรดหรือด่างมาก รวมถึงอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารที่มีสภาวะที่รุนแรงกว่า เช่น โรงงานผลิตอาหารทะเล

Food Grade มีอย่างอื่นอีกไหม

นอกจาก สแตนเลสเกรด 304 และ เกรด 316 ที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมอาหารในฐานะที่เป็น “Food Grade” แล้ว ยังมีวัสดุหรือเกรดอื่นที่สามารถใช้กับอาหารได้อย่างปลอดภัยตามมาตรฐาน Food Grade ดังนี้

1. สแตนเลสเกรด 430
สแตนเลสเกรด 430 เป็นเกรดที่ไม่มีนิกเกิล จึงมีคุณสมบัติที่ไม่ทนทานต่อการกัดกร่อนเท่าเกรด 304 และ 316 แต่ยังคงเหมาะกับการใช้งานกับอาหารในบางกรณี โดยเฉพาะงานที่ไม่ต้องสัมผัสกับกรดหรือเกลือมากนัก เกรดนี้มักถูกนำมาใช้ในเครื่องใช้ในครัวที่ไม่ต้องการความทนทานสูง เช่น เครื่องครัวที่ไม่สัมผัสกับความชื้นหรือกรดบ่อยครั้ง

2. พลาสติก Food Grade (เช่น โพลีโพรพิลีน (PP), โพลีคาร์บอเนต (PC), หรือโพลิเอทิลีน (PE))
พลาสติกประเภทต่าง ๆ เช่น โพลีโพรพิลีน (PP) และ โพลิเอทิลีน (PE) มักได้รับการรับรองว่าเป็นวัสดุ Food Grade เนื่องจากไม่ทำปฏิกิริยากับอาหารและไม่มีการปล่อยสารเคมีอันตรายเมื่อสัมผัสกับอาหาร พลาสติกเหล่านี้มักถูกใช้ทำบรรจุภัณฑ์อาหาร ถุงใส่อาหาร ขวดน้ำ หรือภาชนะสำหรับเก็บอาหาร

3. ซิลิโคนเกรดอาหาร
ซิลิโคนที่เป็น Food Grade เป็นวัสดุยืดหยุ่นและทนความร้อนได้สูง ซึ่งเหมาะสำหรับใช้ทำแม่พิมพ์ขนม ถุงซิลิโคนเก็บอาหาร หรืออุปกรณ์ทำครัวต่าง ๆ เนื่องจากไม่มีสารเคมีที่ปนเปื้อนสู่อาหาร ซิลิโคนเกรดอาหารนี้จึงได้รับการรับรองว่าปลอดภัย

4. แก้วบอโรซิลิเกต (Borosilicate Glass)
แก้วประเภทนี้มีความทนทานต่อความร้อนและทนการกัดกร่อนได้ดี ซึ่งทำให้ปลอดภัยในการใช้กับอาหารและเครื่องดื่ม บอโรซิลิเกตแก้วมักใช้ในการผลิตขวดน้ำ ภาชนะเก็บอาหาร หรืออุปกรณ์เตาอบ

5. อะลูมิเนียมเคลือบ Anodized
อะลูมิเนียมที่ผ่านกระบวนการ anodization เพื่อเพิ่มความทนทานต่อการกัดกร่อน ถือว่าเป็น Food Grade หากใช้ในภาชนะที่ทำอาหารหรือบรรจุอาหาร แต่อะลูมิเนียมที่ไม่ได้เคลือบจะไม่ปลอดภัยเนื่องจากอาจทำปฏิกิริยากับอาหารได้

ถ้าใช้สแตนเลสที่ไม่ได้มาตรฐาน food grade จะมีผลเสียอย่างไร

การใช้สแตนเลสที่ไม่ได้มาตรฐาน Food Grade ในการผลิตหรือจัดเก็บอาหารอาจมีผลเสียหลายประการ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและคุณภาพของอาหาร รวมถึงสุขภาพของผู้บริโภค ดังนี้:

การปล่อยสารเคมี
สแตนเลสที่ไม่ได้มาตรฐาน Food Grade อาจมีการปล่อยสารเคมีที่ไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพออกมาเมื่อสัมผัสกับอาหาร โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับอาหารที่มีความเป็นกรดหรือด่าง ซึ่งสารเคมีเหล่านี้สามารถปนเปื้อนในอาหารและอาจก่อให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาสุขภาพได้

การเกิดสนิมและการกัดกร่อน
สแตนเลสที่ไม่ได้มาตรฐาน Food Grade อาจมีความทนทานต่อการกัดกร่อนไม่ดีเท่าสแตนเลสที่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจทำให้เกิดสนิมหรือการกัดกร่อนเมื่อสัมผัสกับอาหารหรือสารเคมีที่มีความเป็นกรดหรือด่าง ผลลัพธ์คือการปนเปื้อนของสนิมหรือสารเคมีในอาหาร ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยและคุณภาพของอาหาร

การสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรก
วัสดุที่ไม่เป็น Food Grade อาจมีพื้นผิวที่ไม่เรียบหรือมีสารเคลือบที่สามารถสะสมแบคทีเรียและสิ่งสกปรกได้ง่าย การสะสมนี้อาจทำให้เกิดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียหรือเชื้อโรค ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและอาจทำให้เกิดโรคจากอาหารได้

การเกิดปฏิกิริยาเคมี
สแตนเลสที่ไม่ได้มาตรฐานอาจมีองค์ประกอบเคมีที่ไม่เหมาะสมหรือมีสารเติมแต่งที่อาจเกิดปฏิกิริยากับอาหาร ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรสชาติ กลิ่น หรือสีของอาหาร ซึ่งสามารถทำให้อาหารไม่สามารถบริโภคได้หรือเสียรสชาติ

ผลกระทบต่อการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
การใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน Food Grade อาจทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐานด้านความปลอดภัยอาหารได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดปัญหาทางกฎหมายหรือการถูกเรียกคืนผลิตภัณฑ์

หากคุณกำลังมองหากระบอกน้ำ แก้วน้ำได้มาตรฐาน Food Grade เป็นของขวัญพรีเมียม ติดต่อสั่งซื้อได้ที่ Buddy Bottle

Similar Posts