สแตนเลสเกรด 202 และ 430 อันตรายต่อสุขภาพจริงหรือ?

สแตนเลสเกรด 202 และ 430 ไม่ใช่ Food Grade อันตรายต่อสุขภาพจริงหรือ? ในทุกครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นบ้านทั่วไป ร้านอาหาร หรือโรงงานผลิตอาหาร วัสดุที่ใช้กับอาหารถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสิ่งเหล่านี้สัมผัสกับอาหารโดยตรง หากวัสดุไม่ปลอดภัย หรือไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และกลายเป็นปัญหาสุขภาพในระยะยาวโดยไม่รู้ตัว

หลายคนอาจคุ้นเคยกับคำว่า “สแตนเลส” และเชื่อว่าสแตนเลสทุกประเภทปลอดภัยเหมือนกันหมด เพราะดูเงางาม ไม่เป็นสนิม และทนทาน แต่ในความเป็นจริง สแตนเลสมีหลายเกรด หลายประเภท ซึ่งมีคุณสมบัติและความเหมาะสมในการใช้งานที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะ สแตนเลส 202 และ 430 ที่แม้จะได้รับความนิยมในตลาดเพราะราคาถูกและหาง่าย แต่กลับ ไม่ใช่สแตนเลส Food Grade ที่เหมาะกับการใช้งานด้านอาหาร

บทความนี้จะชวนคุณไปทำความเข้าใจข้อแตกต่างระหว่าง สแตนเลสเกรด 202 และ 430 กับสแตนเลส Food Grade พร้อมอธิบายเหตุผลว่าทำไมการเลือกวัสดุเครื่องครัวจึงไม่ใช่แค่เรื่องราคา แต่คือเรื่องของ “ความปลอดภัยในทุกคำที่เรากินเข้าไป” เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ และปกป้องสุขภาพของคนที่คุณรักได้อย่างแท้จริง

สแตนเลสคืออะไร? และ “เกรด” ของสแตนเลสหมายถึงอะไร?

สแตนเลส (Stainless Steel) คือโลหะผสมชนิดหนึ่งที่ถูกออกแบบมาให้ทนต่อการเกิดสนิมและการกัดกร่อนได้ดีเยี่ยม โดยมีองค์ประกอบหลักคือ เหล็ก (Iron) ผสมกับ โครเมียม (Chromium) อย่างน้อย 10.5% หรือมากกว่า ซึ่งโครเมียมจะช่วยสร้างชั้นฟิล์มบาง ๆ บนผิวโลหะที่เรียกว่า passive layer ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ออกซิเจนหรือความชื้นมากัดกร่อนเนื้อโลหะภายใน จึงทำให้สแตนเลสไม่เป็นสนิมง่าย

นอกจากนี้ ยังมีการเติมโลหะอื่น ๆ ลงไปในอัตราส่วนที่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์การใช้งาน เช่น

  • นิกเกิล (Nickel) เพื่อเพิ่มความเหนียวและความทนต่อการกัดกร่อน
  • แมงกานีส (Manganese) เพื่อเพิ่มความแข็งแรง
  • โมลิบดีนัม (Molybdenum) เพื่อช่วยให้ทนกรด ทนเคมีได้ดียิ่งขึ้น

คำว่า “เกรด” ในสแตนเลส หมายถึงการจัดประเภทของสแตนเลสตาม องค์ประกอบทางเคมี และ คุณสมบัติการใช้งาน ซึ่งแต่ละเกรดมีความเหมาะสมกับการใช้งานที่ต่างกัน โดยสามารถสรุปได้ดังนี้:

  • 304 – เกรดมาตรฐาน Food Grade

เป็นสแตนเลสที่นิยมใช้มากที่สุดในครัวเรือนและอุตสาหกรรมอาหาร มีความทนทานต่อการกัดกร่อนดี ใช้กับอาหารได้อย่างปลอดภัย และทำความสะอาดง่าย เหมาะกับภาชนะใส่อาหาร เครื่องครัว และอุปกรณ์ร้านอาหารทั่วไป

  • 316 – เกรดพรีเมียม สำหรับงานที่ต้องการความสะอาดสูง

สแตนเลส 316 มีการเติม โมลิบดีนัม (Mo) เข้าไปเพิ่ม จึงทำให้ทนต่อสารเคมี กรด และด่างได้ดีกว่า 304 มาก เหมาะกับ อุตสาหกรรมยา การแพทย์ อุปกรณ์ผ่าตัด หรือห้องแล็บที่ต้องการความปลอดภัยสูงสุด

  • 202 / 430 – เกรดทั่วไป ไม่แนะนำสำหรับสัมผัสอาหารโดยตรง

สแตนเลสเกรด 202 และ 430 มักมีราคาถูกกว่า และใช้กันในงานทั่วไป เช่น งานตกแต่ง วัสดุก่อสร้าง หรือเฟอร์นิเจอร์โลหะ แต่มีคุณสมบัติในการต้านทานสนิมต่ำกว่ามาก และ ไม่จัดอยู่ในกลุ่ม Food Grade จึงไม่เหมาะกับการใช้ในเครื่องครัวหรือภาชนะที่สัมผัสอาหารโดยตรง

ทำไมสแตนเลสเกรด 202 และ 430 ไม่เหมาะกับการใช้กับอาหาร?

แม้ว่า สแตนเลสเกรด 202 และ 430 จะมีรูปลักษณ์ที่ดูคล้ายกับสแตนเลสทั่วไป และมักถูกใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ราคาย่อมเยา แต่ในความเป็นจริงแล้ว สแตนเลสทั้งสองเกรดนี้ ไม่ผ่านมาตรฐาน Food Grade และมีข้อจำกัดหลายประการที่ทำให้ ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับอาหารโดยตรง ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ มีดังนี้:

  • 1. เสี่ยงต่อการปนเปื้อนของโลหะหนัก

เกรด 202 มีส่วนผสมของ แมงกานีส (Manganese) สูงกว่าสแตนเลส Food Grade ทั่วไป ซึ่งแมงกานีสแม้จะมีบทบาทในกระบวนการทางชีวภาพของร่างกาย แต่หากได้รับในปริมาณมากเกินไปอาจสะสมจนเกิดผลเสียต่อระบบประสาท นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่โลหะอื่น ๆ เช่น เหล็ก หรือโลหะปนเปื้อนอื่นจะละลายออกมาเมื่อสัมผัสกับอาหารร้อนหรือกรด

  • 2. เกิดสนิมได้ง่าย โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ชื้นหรือมีเกลือ

สแตนเลสเกรด 202 และ 430 มีปริมาณ โครเมียม (Chromium) และ นิกเกิล (Nickel) ต่ำกว่าที่พบในเกรด 304 และ 316 ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการป้องกันการเกิดสนิม เมื่อใช้งานในพื้นที่ที่มีความชื้นหรือสัมผัสกับความเค็ม เช่น น้ำปลา น้ำเกลือ หรืออาหารทะเล จึงมีโอกาสเกิดสนิมได้ง่ายกว่า

  • 3. พื้นผิวไม่เหมาะกับการสัมผัสอาหาร

พื้นผิวของสแตนเลสเกรดทั่วไปมักมี ความหยาบ มากกว่า Food Grade และผ่านการผลิตที่ไม่ได้ควบคุมในระดับเดียวกัน ทำให้เกิด รอยขีดข่วนหรือรอยเชื่อมที่ไม่เรียบเนียน ซึ่งจุดเหล่านี้สามารถกลายเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียหรือคราบสกปรกได้ง่าย โดยเฉพาะหากไม่สามารถทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง

องค์ประกอบและโลหะเจือ: จุดเริ่มต้นของความแตกต่าง

สแตนเลสทุกชนิดเป็นโลหะผสมที่มีเหล็ก (Iron) เป็นฐานหลัก แต่สิ่งที่ทำให้แต่ละเกรดแตกต่างกันคือ โลหะเจือ (Alloying Elements) ที่เติมเข้าไป เช่น:

เกรดโลหะเจือหลักคุณสมบัติ
304 (Food Grade)โครเมียม 18% + นิกเกิล 8%ทนสนิมดีเยี่ยม เหมาะกับอาหาร
316 (Food Grade)โครเมียม 16% + นิกเกิล 10% + โมลิบดีนัมทนเคมี ทนกรด-ด่าง ใช้ในแพทย์/ยา
202 / 430 (Non-Food Grade)แมงกานีสสูง / โครเมียมต่ำต้านสนิมต่ำกว่า อาจมีโลหะปนเปื้อน
องค์ประกอบและโลหะเจือ

ตัวอย่างสินค้าที่มักใช้สแตนเลส เกรด 202 และ 430

แม้สแตนเลสเกรด 202 และ 430 จะไม่เหมาะสำหรับการสัมผัสอาหารโดยตรง แต่ก็ยังคงถูกใช้อย่างแพร่หลายในสินค้าและงานทั่วไปที่ไม่ได้เน้นความปลอดภัยด้านอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานที่ต้องการความเงางามหรือความแข็งแรงในราคาที่ประหยัดกว่าเกรด 304 หรือ 316 โดยตัวอย่างที่พบได้บ่อย มีดังนี้:

สแตนเลส เกรด 202 – เน้นความเงางาม ราคาถูก

  • เฟอร์นิเจอร์สแตนเลสราคาประหยัด
    เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ชั้นวางของ ที่ใช้งานภายในบ้านหรือสำนักงาน
  • ราวบันได/รั้ว/กันตกในอาคาร
    งานโครงสร้างภายในที่ไม่ต้องสัมผัสกับความชื้นตลอดเวลา
  • ชั้นวางของในห้าง ร้านค้า
    เช่น ชั้นสแตนเลสในร้านมินิมาร์ท ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า
  • ชิ้นส่วนตกแต่งในรถยนต์/เครื่องใช้ไฟฟ้า
    เช่น กรอบด้านหน้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ฝาครอบบางจุดในเครื่องซักผ้า
  • งานตกแต่งทั่วไปในอาคาร
    เช่น ป้ายชื่อ โลโก้ หรือขอบตกแต่งในห้องน้ำ

สแตนเลส เกรด 430 – ทนแม่เหล็ก ใช้กับงานทั่วไป

  • ผนังครัวร้านอาหาร (Backsplash)
    ใช้เป็นแผ่นปิดผนังหลังเตาเพื่อกันคราบมันและทำความสะอาดง่าย
  • เครื่องดูดควัน หรือแผ่นกรองไขมันบางชนิด
    ที่ไม่ได้สัมผัสอาหารโดยตรง แต่ต้องการวัสดุที่ไม่ติดไฟง่าย
  • ด้านนอกของเตาอบ เตาแก๊ส หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า
    ที่เน้นความเงางาม ทนความร้อน และต้นทุนต่ำ
  • ตู้เก็บของภายในโรงงาน หรือโรงเรียน
    ที่ไม่ต้องสัมผัสกับสารเคมีหรือความชื้นมากนัก
  • ของตกแต่งบ้านราคาถูก เช่น ถังขยะสแตนเลส กระถางต้นไม้
    ที่เน้นความสวยงามเป็นหลัก

โลหะหนักและสารเจือปนที่เสี่ยงสะสมในร่างกาย

แมงกานีส (Manganese)

พบได้ในสแตนเลสเกรด 200 อย่างเช่น 202 ซึ่งมีแมงกานีสในปริมาณสูง แม้แมงกานีสจะเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อย แต่ถ้ารับเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปต่อเนื่อง เช่น ผ่านอาหารที่ปนเปื้อนจากโลหะ
ผลกระทบ:

  • ระบบประสาทผิดปกติ (คล้ายอาการของโรคพาร์กินสัน)
  • อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล
  • เด็กอาจมีพัฒนาการทางสมองล่าช้า

โครเมียม (Chromium)

โดยทั่วไปโครเมียมในสแตนเลสมีประโยชน์ในการป้องกันสนิม แต่หากเป็นโครเมียม ในรูปแบบไม่เสถียร เช่น โครเมียมหกเหลี่ยม (Hexavalent Chromium) ซึ่งอาจเกิดจากสแตนเลสคุณภาพต่ำหรือผ่านการผลิตไม่ได้มาตรฐาน
ผลกระทบ:

  • สะสมในไตและตับ
  • อาจเป็นสารก่อมะเร็ง
  • ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจเมื่อสะสมในอากาศ (จากการขัดสแตนเลสแบบไม่ปลอดภัย)

ตะกั่ว (Lead)

แม้ไม่ได้เป็นส่วนประกอบหลักของสแตนเลส แต่หากใช้สแตนเลสจากแหล่งผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือใช้การหล่อโลหะรีไซเคิลราคาถูก ตะกั่วอาจปะปนเข้ามาได้โดยไม่รู้ตัว
ผลกระทบ:

  • มีผลกระทบอย่างมากในเด็กเล็ก เช่น สมาธิสั้น พัฒนาการทางสมองล่าช้า
  • ภาวะโลหิตจาง อ่อนเพลียเรื้อรัง
  • ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ และระบบประสาทส่วนกลาง

สรุป: รู้ไว้ก่อนเลือกใช้สแตนเลส เพื่อสุขภาพที่ปลอดภัย

  • สแตนเลส 202 และ 430 ไม่ใช่ Food Grade แม้จะมีราคาถูกและใช้งานทั่วไปได้ดี แต่ไม่เหมาะสำหรับการสัมผัสอาหารหรือของดื่มเป็นประจำ
  • สแตนเลส Food Grade ที่แนะนำคือ 304 และ 316 ซึ่งปลอดภัย ทนสนิม และผ่านมาตรฐานการใช้งานด้านอาหาร
  • การเลือกสแตนเลสที่เหมาะสมไม่เพียงป้องกันสนิม แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงจากสารโลหะหนักที่อาจสะสมในร่างกาย
  • ทางที่ดีที่สุดคือ ตรวจสอบเกรดก่อนซื้อเสมอ โดยเฉพาะเมื่อซื้อภาชนะใส่อาหาร เครื่องครัว หรือถังน้ำดื่ม

หากคุณกำลังมองหากระบอกน้ำ แก้วน้ำได้มาตรฐาน Food Grade สกรีนโลโก้คุณได้ ติดต่อสั่งซื้อได้ที่ Buddy Bottle

4 เกรด สแตนเลส ที่ควรรู้จัก

รู้หรือไม่? แก้วเก็บความเย็น ทำให้เครื่องดื่มเย็นนานได้อย่างไร

Similar Posts