“BPA Free” คืออะไร? รู้ทันก่อนเลือกซื้อกระบอกน้ำพลาสติก

“BPA Free” คืออะไร? รู้ทันก่อนเลือกซื้อกระบอกน้ำพลาสติก ในยุคที่ผู้คนเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหาร การออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่งสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน “กระบอกน้ำพลาสติก” ก็กลายเป็นไอเทมคู่กายของใครหลายคน ทั้งเพื่อช่วยลดการใช้ขวดน้ำแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และเป็นสัญลักษณ์ของวิถีชีวิตสายเฮลท์ตี้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนส่วนใหญ่อาจมองข้ามก็คือ วัสดุที่ใช้ผลิตกระบอกน้ำเหล่านี้ โดยเฉพาะสารเคมีที่ชื่อว่า BPA หรือ Bisphenol A ซึ่งมักถูกใช้ในการผลิตภาชนะพลาสติกชนิดโพลีคาร์บอเนตและเรซินบางชนิด

หลายปีที่ผ่านมา สาร BPA ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีความเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น ระบบฮอร์โมนแปรปรวน ภาวะเจริญพันธุ์ผิดปกติ ไปจนถึงความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังบางชนิด นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า “BPA Free” ที่กลายเป็นหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญที่ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญเมื่อต้องเลือกซื้อกระบอกน้ำหรือภาชนะพลาสติกอื่น ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มพ่อแม่ที่มองหาขวดนมเด็ก หรือผู้ที่ใช้กระบอกน้ำเป็นประจำทุกวัน

แต่แท้จริงแล้ว “BPA Free” คืออะไร? ทำไมจึงควรหลีกเลี่ยง? ผลกระทบของมันต่อร่างกายจริงจังแค่ไหน? และการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “BPA Free” มีข้อควรระวังอะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง? บทความนี้จะชวนคุณมาเปิดข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสาร BPA พร้อมทั้งแนะแนวทางในการเลือกกระบอกน้ำพลาสติกที่ปลอดภัย เพื่อให้ทุกการดื่มน้ำของคุณเป็นไปอย่างมั่นใจ และไม่ต้องเสี่ยงกับสารเคมีที่แฝงตัวอยู่ในชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัว

BPA คืออะไร?

BPA (Bisphenol A) คือสารเคมีสังเคราะห์ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในกระบวนการผลิตพลาสติกชนิด โพลีคาร์บอเนต (Polycarbonate) ซึ่งเป็นพลาสติกใส แข็งแรง ทนความร้อน และใช้ทำผลิตภัณฑ์มากมายที่เราคุ้นเคย เช่น ขวดน้ำพลาสติกแบบแข็ง กล่องใส่อาหาร ฝาขวด ขวดนมเด็ก ไปจนถึงการเคลือบด้านในของกระป๋องอาหารและกระป๋องเครื่องดื่ม เพื่อป้องกันสนิมและยืดอายุของผลิตภัณฑ์

BPA ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในบรรจุภัณฑ์อาหารเท่านั้น แต่ยังอาจพบใน:

  • อุปกรณ์ทางการแพทย์บางชนิด
  • ใบเสร็จความร้อน (thermal paper)
  • ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
  • เครื่องใช้ในครัวเรือน
  • วัสดุก่อสร้างบางประเภท

BPA เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร?

โดยทั่วไป BPA สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่:

  1. การกิน – เช่น กินอาหารหรือเครื่องดื่มที่สัมผัสกับภาชนะที่มี BPA โดยเฉพาะเมื่อพลาสติกโดนความร้อน เช่น เอาเข้าไมโครเวฟ หรือวางตากแดด
  2. การหายใจ – โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีฝุ่นจากวัสดุที่มี BPA หรือในโรงงานผลิต
  3. การสัมผัสทางผิวหนัง – เช่น จากใบเสร็จที่พิมพ์ด้วยความร้อน หรืออุปกรณ์ที่ทำจากพลาสติกบางชนิด

แล้ว “BPA Free” หมายถึงอะไร?

“BPA Free” หมายถึงภาชนะหรือกระบอกน้ำที่ผลิตโดย ไม่มีการใช้สาร BPA ในขั้นตอนการผลิต ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากสารเคมีปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกาย จึงเหมาะกับการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่ม

ความกังวลเกี่ยวกับ BPA

แม้ว่า BPA จะถูกใช้อย่างแพร่หลายนานหลายทศวรรษ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีงานวิจัยจำนวนมากที่เริ่มชี้ให้เห็นว่า BPA อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากร่างกายได้รับสารนี้สะสมในปริมาณมากหรือต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เนื่องจาก BPA สามารถเลียนแบบการทำงานของ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศในร่างกายมนุษย์ ทำให้มันถูกจัดว่าเป็นหนึ่งใน “สารก่อกวนต่อมไร้ท่อ” (Endocrine Disruptors)

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่:

  • ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ เช่น ภาวะมีบุตรยาก
  • เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • มีผลต่อพัฒนาการของทารกและเด็กเล็ก
  • เสี่ยงต่อโรคมะเร็งบางประเภท เช่น มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
  • ความผิดปกติของระบบประสาท เช่น โรคสมาธิสั้น หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงในเด็ก

วิธีเลือกกระบอกน้ำ BPA Free อย่างปลอดภัย

เพื่อให้คุณมั่นใจว่าใช้กระบอกน้ำได้อย่างปลอดภัยต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงการได้รับสารเคมีตกค้างอย่าง BPA (Bisphenol A) นี่คือแนวทางที่ควรคำนึงถึงเมื่อต้องเลือกซื้อกระบอกน้ำหรือขวดน้ำพลาสติก:

✅ 1. ดูฉลากสินค้าอย่างชัดเจน

  • ตรวจสอบว่ามีคำว่า “BPA Free” ระบุไว้บนฉลากหรือก้นขวด
  • หรืออาจใช้คำว่า “พลาสติกปลอดสารพิษ” / “ปลอดภัยต่ออาหาร (Food Grade)
  • สินค้าจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือมักแสดงข้อมูลนี้ชัดเจน และผ่านการรับรองจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น อย. (ในไทย), FDA (สหรัฐ), หรือสัญลักษณ์อื่น ๆ

🧴 2. เช็กประเภทของพลาสติกจากรหัสรีไซเคิล

พลาสติกแต่ละประเภทมีรหัสตัวเลข (1–7) อยู่ในสัญลักษณ์สามเหลี่ยมรีไซเคิลที่ก้นภาชนะ โดยชนิดที่ควรเลือกคือ:

  • #2 – HDPE (High-Density Polyethylene)
    ทนทาน แข็งแรง ใช้ในขวดน้ำมันพืช ขวดนม ฯลฯ
  • #4 – LDPE (Low-Density Polyethylene)
    ยืดหยุ่น ใช้ในถุงใส่อาหารหรือขวดบางชนิด
  • #5 – PP (Polypropylene)
    เหมาะกับการใส่ของร้อน ทนความร้อนได้ดี ใช้ในกล่องอาหารหรือขวดนมเด็ก

🔺 ควรหลีกเลี่ยงพลาสติก #7 (Other)
ซึ่งเป็นพลาสติกผสม อาจมี BPA หรือสารอื่นที่ไม่ปลอดภัย

⚠️ 3. เลี่ยงขวดที่กรอบ แตกง่าย หรือดูเก่า

  • หากขวดน้ำมีรอยแตกร้าว สีขุ่นขาว หรือมีคราบที่ล้างไม่ออก
  • ถือเป็นสัญญาณว่าพลาสติกเริ่ม เสื่อมสภาพ
  • พลาสติกที่เสื่อมสภาพจะมีโอกาส ปล่อยสารเคมีตกค้าง เช่น BPA หรือไมโครพลาสติก เข้าสู่น้ำหรืออาหารที่คุณบริโภคได้ง่ายขึ้น

💡 แนะนำเปลี่ยนขวดน้ำใหม่ทุก 6–12 เดือน หรือเมื่อมีสภาพผิดปกติ

🌡️ 4. ไม่ใส่น้ำร้อนจัดในขวดพลาสติกทั่วไป

  • พลาสติกทั่วไปมัก ไม่ทนความร้อนสูง หากเติมน้ำร้อนเกิน 60–70°C
  • อาจทำให้เกิดการปล่อยสารเคมี รวมถึง BPA ได้มากขึ้น
  • หากคุณจำเป็นต้องใส่น้ำร้อน ควรใช้กระบอกน้ำที่ออกแบบมาสำหรับใส่น้ำร้อนโดยเฉพาะ เช่น:
    • ขวดพลาสติกชนิด PP ที่ระบุว่าใช้กับน้ำร้อนได้
    • กระบอกน้ำสเตนเลส (Stainless steel vacuum flask)
    • กระบอกแก้วทนความร้อน

ข้อแตกต่างระหว่าง “BPA Free” กับ “Food Grade”

ความหมายไม่มีสาร Bisphenol A ซึ่งเป็นสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายวัสดุนั้น ปลอดภัยสำหรับการสัมผัสอาหารหรือเครื่องดื่ม ไม่ปล่อยสารเคมีที่เป็นอันตราย
โฟกัสเฉพาะเจาะจงกับสารอะไร?โฟกัสเฉพาะเรื่อง BPA อย่างเดียวพิจารณา สารเคมีทุกชนิด ที่อาจปนเปื้อนในอาหาร
ใช้กับวัสดุแบบไหนได้บ้าง?ส่วนใหญ่ใช้กับ พลาสติก โดยเฉพาะ Polycarbonateใช้ได้กับวัสดุหลากหลาย เช่น พลาสติก แก้ว เซรามิก สเตนเลส
ได้รับการรับรองจาก?อาจมีสัญลักษณ์หรือคำระบุ “BPA Free” บนบรรจุภัณฑ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัยทั้งหมดต้องผ่านเกณฑ์จากหน่วยงานรับรอง เช่น อย. (ไทย), FDA (สหรัฐ), EFSA (ยุโรป) ว่าใช้กับอาหารได้อย่างปลอดภัย
ข้อควรระวัง“BPA Free” อาจใช้สารชนิดอื่นแทน เช่น BPS หรือ BPF ซึ่งยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยชัดเจนหากวัสดุไม่ได้ผ่านการรับรอง Food Grade อาจปล่อยสารพิษเมื่อเจอความร้อนหรือกรดจากอาหาร
ข้อแตกต่างระหว่าง “BPA Free” กับ “Food Grade”

BPA พบได้ในผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง?

แม้หลายคนจะคุ้นชื่อ BPA (Bisphenol A) ว่าเกี่ยวข้องกับ “กระบอกน้ำ” หรือ “ขวดน้ำพลาสติก” เท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วสารชนิดนี้พบได้ใน ผลิตภัณฑ์รอบตัวเราอีกมากมาย โดยเฉพาะสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ความร้อน หรือการใช้งานประจำวัน ดังนี้:

1. ขวดนมเด็กและอุปกรณ์สำหรับทารก

  • ขวดนม, จุกนม, ถ้วยหัดดื่ม ที่ทำจากพลาสติกใสหรือแข็ง
  • หากผลิตจาก โพลีคาร์บอเนต (Polycarbonate) โดยไม่ผ่านการปรับสูตร จะมีความเสี่ยงสูงต่อการปล่อย BPA
    ✅ ปัจจุบันมีการควบคุมมากขึ้น แต่ผู้ปกครองควรเลือกแบบที่ BPA-Free เสมอ

2. กล่องอาหารพลาสติกและภาชนะใส่อาหาร

  • กล่องข้าวพลาสติก, กล่องแช่แข็ง, ชามพลาสติก
  • โดยเฉพาะหากนำไปอุ่นในไมโครเวฟหรือใส่อาหารร้อน
  • ความร้อนจะเร่งให้ BPA ละลายออกมาได้ง่ายขึ้น

3. ขวดน้ำพลาสติกและกระบอกน้ำทั่วไป

  • ขวดน้ำแบบแข็ง ขวดน้ำรีฟิล หรือขวดที่มีพลาสติกใสเงา
  • มักผลิตจากพลาสติกโพลีคาร์บอเนต ซึ่งเป็นแหล่งของ BPA
  • การใช้ซ้ำ ขวดที่โดนแดด หรือมีรอยร้าว เสี่ยงปล่อยสารตกค้างมากขึ้น

4. กระป๋องอาหารและเครื่องดื่ม

  • ด้านในของกระป๋องมักเคลือบด้วย เรซินที่มี BPA เพื่อป้องกันสนิม
  • พบได้ทั้งในกระป๋องอาหารกระป๋องปลากระป๋อง ผักผลไม้กระป๋อง และแม้แต่เครื่องดื่มอัดลม

5. ฝาขวดน้ำอัดลมและฝาขวดพลาสติก

  • ฝาขวดหลายชนิดมีการเคลือบด้วยสารที่อาจมี BPA ผสม
  • แม้ปริมาณน้อย แต่เมื่อสะสมก็อาจส่งผลต่อสุขภาพได้

6. ใบเสร็จที่พิมพ์ด้วยความร้อน (Thermal paper)

  • กระดาษใบเสร็จจากร้านค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ตู้เอทีเอ็ม
  • มีการเคลือบด้วยสาร BPA เพื่อให้สามารถพิมพ์ตัวหนังสือได้โดยไม่ใช้หมึก
  • การสัมผัสเป็นประจำโดยไม่ล้างมืออาจทำให้สารซึมผ่านผิวหนังได้

7. บรรจุภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง

  • พลาสติกที่ใช้ทำแผงยา หลอดครีม หรือภาชนะบรรจุเครื่องสำอาง
  • หากไม่ได้ระบุว่า “ปลอดสาร BPA” อาจมีสารตกค้างเช่นกัน

สรุป BPA Free เล็กน้อยที่สร้างความปลอดภัยระยะยาว

แม้คำว่า “BPA Free” จะดูเป็นแค่คำบนฉลากเล็ก ๆ แต่กลับมีความหมายใหญ่หลวงต่อสุขภาพของคุณและคนรอบข้าง การหลีกเลี่ยงภาชนะที่มีสาร BPA ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก หากเราใส่ใจตรวจสอบก่อนเลือกซื้อ และเลือกใช้ภาชนะที่ผ่านมาตรฐานปลอดภัยอย่างแท้จริง

สุขภาพดีเริ่มที่ของใช้เล็ก ๆ ใกล้ตัว — เลือก BPA Free ทุกครั้งที่ซื้อ

หากคุณกำลังมองหากระบอกน้ำ แก้วน้ำได้มาตรฐาน Food Grade ติดต่อสั่งซื้อได้ที่ Buddy Bottle

พลาสติกPP วัสดุสารพัดประโยชน์ที่คุณอาจยังไม่รู้จัก

รู้หรือไม่ สัญลักษณ์ที่มักพบ บนขวดน้ำ ภาชนะ หมายความว่าอะไร

Similar Posts